EP31 - Think Like A Freak

วิชาคิดนอกกรอบ Thinking 101 เพื่อหาเหตุผลที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าของ George Bernard Shaw

EP31 - Think Like A Freak

วิชาคิดนอกกรอบ "Thinking 101" เพื่อหาเหตุผลที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าของ George Bernard Shaw

เพื่อนๆทักมาถามแอดบ่อยๆว่า “มีหนังสือสอนวิธีคิด Thinking 101 แนะนำไหม?” ขอแบบเด็ดๆ เล่มที่แอดพร้อมป้ายยาทุกคนคือ Think Like A Freak (2015) ของ S. Levitt & S. Dubner

ตั้งแต่อ่านจบครั้งแรก วิธีคิดแอดเปลี่ยนไปเลย กลายเป็นคนเพี้ยน ยั๊งงง 555+

ถ้าใครอยาก “เริ่มคิด” ได้ด้วยตัวเอง PodDash EP.31 วันนี้มีคำตอบกับวิชา “คิดนอกกรอบ” สำหรับผู้เริ่มต้น พร้อมแล้วมาลุยกันคร้าบบบ

ปัญหาส่วนใหญ่ในโลกนี้ที่พวกเรายัง “แก้ไม่ได้” สักที มันซับซ้อนกว่าที่ตาเราเห็นมาก ถ้าอยากค้นพบทางออก ต้องตั้งใจ “คิด” อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับปัญหานั้นๆก่อน

ตัวอย่างเช่น ปัญหาเรื่องการศึกษา ไม่สามารถแก้ได้ที่สถาบันการศึกษาอย่างเดียว ถ้าเรา “คิดว่า” ทางออกของปัญหานี้คือการปรับหลักสูตร พัฒนาทักษะอาจารย์ ยกระดับ Learning Facility ต่างๆ ฯลฯ

ถ้าใครคิดแบบนี้ Shaw จะบอกว่า “พวกคุณไม่ได้คิดเลย” ยั๊งงง 555+ (แอดก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกัน)

George Bernard Shaw คือนักคิด นักปราชญ์ในตำนาน ผู้ก่อตั้ง London School of Economics บอกว่า “มีคนไม่กี่คนที่คิดมากกว่า 2-3 ครั้งต่อปี ส่วนผมพยายามจะคิดให้ได้ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์” ล้ำลึก

Shane Parrish ผู้ก่อตั้ง Farnam Street คอมมูนิตี้ของนักคิด ผู้เขียนหนังสือ Clear Thinking (2023) บอกว่า “คนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดเท่าไหร่เลย” เพราะถ้าคิดจริงๆ ชีวิตเราดีกว่านี้ไปนานแล้ว โหดมาก 555+

มีเส้นกั้นบางๆระหว่างคำว่า “Think” และ “Respond” Shane เล่าว่าคนส่วนใหญ่แค่ตอบสนองกับสิ่งเร้าและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ไม่เคยหยุดคิดจริงๆว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดจริงหรือเปล่า

Thinking Fast and Slow ของ อ. Kahneman อธิบายเรื่อง System 1 [Fast] และ System 2 [Slow] ว่าถ้าเราตอบสนองกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเดียว เรากำลังพึ่งพา “System 1” เยอะเกินไป

ตัวอย่างจากหนังสือ Think Like A Freak เล่าว่าสามคำที่พูดยากที่สุดในโลกคือคำว่า “I don’t know” เพราะ System 1 บอกว่าถ้าเราพูดบ่อยๆ เดี๋ยวคนอื่นคิดว่าเราโง่ เย้ย 555+

แต่ถ้าเราใช้ System 2 คิดจริงๆ คำว่า “ฉันไม่รู้” เป็นคำที่ทรงพลังมาก ไม่รู้ ก็ไม่จำเป็นต้องแถ ไม่รู้ แค่บอกว่าไม่รู้ก็จบแล้ว 555+ ช่วงหลังใครถามอะไรที่แอดตอบไม่ได้ แอดบอก “ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้” ตลอดเลย ยั๊งงง 555+

💡
ข้อดีของการพูดว่า “I don't know” บ่อยๆ คือเวลาที่เราบอกว่า “I know” มันจะทรงพลังอย่างมาก เพราะแปลว่าเราน่าจะรู้จริงๆ 555+

มีคนเคยถาม Thomas Sargent นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลว่า “อัตราดอกเบี้ย (CD rates) อีกสองปีข้างหน้าจะเป็นเท่าไหร่” อ. Thomas ตอบสั้นๆว่า “ผมก็ไม่รู้”

“If he can’t, no one can.” ถ้าคนที่ได้รับรางวัลโนเบลยังตอบว่าไม่รู้ เราควรฝึกที่จะพูดคำนี้เช่นเดียวกัน

Levitt & Dubner ผู้เขียนหนังสือ Think Like A Freak วิเคราะห์ปัญหาการศึกษา และเสนอวิธีแก้ว่าเด็กๆใช้เวลาอยู่ที่ไหนเยอะ ให้ไปแก้ที่จุดนั้น คุณภาพการศึกษาไม่ได้ขึ้นอยู่กับโรงเรียนอย่างเดียว

วันหนึ่งมี 24 ชม. แบ่งเป็นสามส่วน 8 8 8 เพื่อทำกิจกรรม [นอน ตื่นไปเรียน กลับมาอยู่บ้านกับครอบครัว] แปลว่าสถาบันการศึกษากับสถาบันครอบครัวมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่อง “คุณภาพ” ของเด็กคนหนึ่งพอๆกัน

คนส่วนใหญ่คิดว่า “จ่ายเงิน” ค่าเทอมไปแล้ว เรื่องการศึกษากลายเป็นหน้าที่ของโรงเรียนเท่านั้น ถ้าใครคิดแบบนี้ .. ขอย้ำอีกทีว่าพวกพี่ “ไม่ได้คิด” เลย เสียง Shaw ลอยมา ยั๊งงง 555+

เงินไม่ได้แก้ได้ทุกปัญหา และไม่ได้การันตีว่าจ่ายเงินส่งลูกไปเรียนโรงเรียนดีๆ แล้วลูกเราจะโตขึ้นเป็นคนคุณภาพของสังคมด้วย

ครอบครัวมีผลเยอะมากกับการเรียนรู้ของเด็กๆ ถ้าเรา “ไม่มีเวลา” ให้พวกเค้ามากเพียงพอ เด็กอาจจะไม่สามารถพัฒนาความสามารถและทักษะต่างๆได้อย่างเต็มที่

แล้วเราจะหา “เวลา” มาจากไหน? จะมีเวลามากขึ้น การงานต้องมั่นคง เศรษฐกิจต้องดีก่อน ถ้าเรายังต้องหาเช้ากินค่ำ ทำงานเสริม จะเอาเวลาคุณภาพที่ไหนไปให้ลูกๆของเรา?

ถ้าเราคิดสักนิด การแก้ปัญหาการศึกษาต้องแก้ทั้งระบบ แก้ที่โรงเรียน แก้ที่ครอบครัว เด็กๆใช้ “เวลา” อยู่ที่ไหนเยอะ ให้ไปแก้ที่จุดนั้น เหมือนที่ Levitt & Dubner เสนอ

ยังไม่จบ 555+ แต่ถ้าพวกเรา “คิดอย่างจริงจัง” จะพบว่าคุณภาพการศึกษาไม่เกี่ยวกับสถาบันใดๆ พ่อแม่ไม่มีเวลา โรงเรียนคุณภาพบ้านๆ ไม่ควรมีผลอะไรกับความรู้ของเรา

เพราะถ้าเรา “คิด” จริงๆ เรา “เรียน” ด้วยตัวเองไปนานแล้ว ปัจจัยภายนอกไม่ควรจะมีผลกับการศึกษาของเรา Stoic Wisdom ต้องเข้าแล้วจังหวะนี้ 555+ ของแทร่

ส่วนตัวแอดเชื่อว่า “Self-Education” คือวิธีการเรียนรู้รูปแบบเดียวที่มีอยู่จริง การศึกษาที่ดีเริ่มต้นได้ง่ายๆที่ “ตัวเอง” เพราะเราคือคนที่ใช้เวลากับตัวเองเยอะที่สุด 24 ชม. ล้ำลึก

เหมือนที่ Mark Twain เคยบอกไว้ว่า “ผมไม่เคยปล่อยให้โรงเรียนมายุ่งเกี่ยวกับการศึกษาของผมเลย” ถ้าแปลไทยตรงๆ แกน่าจะอยากใช้คำว่า “อย่าเสือก” เกรี้ยวกราดแบบหมูเด้ง เดี๋ยว 555+ 🤣

พวกเราอยู่ในยุคที่เข้าถึงความรู้ดีๆง่ายกว่าสมัยก่อนมาก ถ้าเรายังไม่เก่งขึ้นสักที เริ่มจากหยุด “คิด” แล้วเปลี่ยนพฤติกรรม ลงมือทำในสิ่งที่เราควรทำ Think, then Act.

แต่ถ้าเราเลือกที่จะ “ไม่คิด” ชีวิตก็เป็นแค่เศษไม้ที่ไหลไปตามกระแสน้ำ ทำได้แค่ “ตอบสนอง” กับสิ่งที่เกิดขึ้นมา ซึ่งฉากจบอาจจะไม่สวยเท่าไหร่

สรุปวิธีแก้ปัญหาการศึกษาแบบ Think Like A Freak

  • ถ้าเราไม่คิด คำตอบคือแก้ที่โรงเรียน
  • ถ้าเราเริ่มคิด คำตอบคือต้องแก้ที่ครอบครัวด้วย
  • ถ้าเราคิดแบบตกผลึกจริงๆ คิดแบบที่ George Bernard Shaw บอกไว้ การศึกษาต้องแก้ที่ “Mindset” ของตัวเราเอง ยิ่งคิดได้เร็วเท่าไหร่ คุณภาพชีวิตยิ่งดีขึ้นเร็วเท่านั้น

คิดแบบไหน ได้แบบนั้น “What you think, you become.” - Buddha

Think Like A Freak เต็มสิบไม่หัก ของดีต้องมีติดเชลฟ์ แค่ซื้อก็ฉลาดแล้ว ยั๊งงง 555+

ปล. ถ้าอยากคิดเก่ง ก็ต้องฝึกเขียน ภาษาอังกฤษเราบอกว่า “Thinking and Writing are Entangled” นี่มัน Quantum เปล่า 555+

PodDash - One Lesson At A Time 💯